ตะลึง! หญิงสหรัฐฯ ขอทำแท้งพุ่ง 400% เหตุไม่มั่นใจอนาคตหลังโควิด-19

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

วันนี้ ( 20 เม.ย. 63 )การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมชีวิตในสหรัฐ รวมถึงประเด็นการทำแท้งซึ่งเป็นประเด็นที่มีการโต้เถียงกันมากที่สุดประเด็นหนึ่ง โดยหลายรัฐซึ่งรวมถึงรัฐอลาบาม่า อาร์คันซอร์ หลุยส์เซียน่า โอไฮไอ โอกลาโฮม่า. อเทนเนสซี่และ เท็กซัส กำลังพยายามห้ามการทำแท้ง โดยบอกว่าเป็นวิธีการที่ไม่จำเป็นในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางสาธารณสุข. ทำให้คลินิกบางแห่งปิดให้บริการ ขณะที่บางแห่งกลีบมีคำขอร้องจากผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นโดยหวังว่าจะได้ทำแท้งในขณะที่ยังคงทำได้

ทั้งนี้คลินิกรับทำแท้งที่ชื่อว่า ทรัสต์ วีเม่นในเมืองวิชิต้า รัฐแคนซัสรายงานว่าได้ทำแท้งให้ผูหญิงไปแล้ว 252 รายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วที่มีเพียง 90 ราย

โดยจูลี่ เบิร์กฮาร์ท ประธานคณะผู้บริหารของทรัสต์ วีเม่นบอกว่าทั้งคลินิกในเมืองวิชิต้า และคลินิกอื่นในเมืองโอกลาโฮม่าที่เธอดูแลอยู่มีจำนวนผู้ที่ขอทำแท้งมากถึง 300-400 เปอร์เซ็นต์ นางเบิร์กฮาร์ทบอกว่าผู้หญิงเหล่านี้มีความไม่แน่ใจเกี่ยวกับการมีบุตรในช่วงที่โลกไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ และพวกเธอก็วิตกเกี่ยวกับเรื่องเงินเนื่องจากการว่สงงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

นางเบิร์กฮาร์ทกล่าวเสริมว่ามีคนจำนวนมากที่เธอพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ที่ศูนย์ของเธอในเมืองโอกลาโฮม่า ซึ่งขอความมั่นใจจากเธอว่าผู้ว่าการรัฐจะไม่ดำเนินการแเรื่องการห้ามทำแท้ง. เพราะมีการยกเลิกการนัดหมายทำแท้งเป็นจำนวนมากในรัฐมี่พวกเธออาศัยอยู่ ซึ่งเป็นผลใาจากการประกาศห้าม โดยผู้หญิงเหล่านี้มีความวิตกกังวลอย่างมากเนื่องจากไม่ทราบว่าพวกเธอจะสามารถทำแท้งได้หรือไม่ และทำให้รู้สึกว่าต้องทำแท้งในตอนนี้ดีกว่าไม่สามารถทำได้เลย

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้ในสหรัฐอย่างชัดเจน โดยคนหรือครอบครัวที่รวยกว่าดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบเมื่อเทียบกับพวกที่ทำงานมีรายได้ต่ำกว่าที่หดรายได้หายไปอย่างเห็นได้ชัดเพียงชั่วข้ามคืน. แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความไม่เท่าเทียมกันเป็นสิ่งสำคัญของการตัดสินใจว่าจะมีบุตรหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีเค้าลางว่าจะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ