ปัจจุบันอัตราการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของคนไทยพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งนับวันอายุก็เริ่มน้อยลงทุกปี ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่คงต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาค่อนข้างนาน แต่การป้องกันเฉพาะหน้าก็ไม่ใช่ว่าจะต้องละเลย เพราะเราไม่สามารถห้ามวัยรุ่นไม่ให้มีเพศสัมพันธ์กันได้ เราจึงต้องเสนอวิธีการป้องกันให้แก่วัยเยาว์เหล่านั้น ด้วยการรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัย และยาคุมกำเนิด
ยาคุมฉุกเฉินก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเมื่อถุงยางอนามัยเกิดฉีกขาด หรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน ถูกกระทำชำเราโดยผู้ไม่หวังดี แต่เพศหญิงก็มีสิทธิ์จะเลือกได้ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ ด้วยการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการไม่พร้อมมีบุตร เด็กทารกถูกทิ้งขว้าง และปัญหาการทำแท้งก็ลดลงไปด้วย ยาคุมฉุกเฉินจึงมีประโยชน์ต่อเพศหญิงและสังคมเป็นอย่างมาก โดยยาคุมฉุกเฉินจะมีลักษณะที่ต่างออกไปจากยาคุมกำเนิดที่ต้องกินติดต่อกันหลายเม็ด และไม่สามารถใช้แทนกันได้ ยาคุมฉุกเฉินต้องกินเฉพาะตอนจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะยาจะส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายด้วยเช่นกัน
วิธีกินยาคุมฉุกเฉิน
ใน 1 แผงจะประกอบด้วยตัวยา 2 เม็ด ซึ่งเป็นฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) ปริมาณสูงที่บรรจุอยู่ภายใน เม็ดละ 750 ไมโครกรัม โดยต้องกินเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันไม่เกิน 72 ชั่วโมงหรือ 3 วันให้หลัง หากกินภายใน 24 ชั่วโมงได้ จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีที่ยิ่งขึ้น หลังจากนั้นให้กินยาเม็ดที่ 2 หลังจากเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง แต่ถ้าหากมีการอาเจียนออกมาภายใน 2 ชั่วโมงหลังกินยาแต่ละเม็ด ให้รับประทานเข้าไปใหม่ โดยไม่ควรรับประทานเกิด 4 เม็ดต่อเดือน
ในบางครั้งเราอาจพบยาคุมฉุกเฉินมีเม็ดเดียวที่อยู่ในแผง ส่วนมากจะเป็นขนาด 1.5 มิลลิกรัม โดยให้รับประทานทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันเช่นกัน หรือไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วันนั่นเอง
คำเตือนในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
- การรับประทานยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกวิธีนั้นสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ได้
- หากมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงจนร่างกายทนไม่ไหว ให้รีบนำตัวยาไปพบแพทย์โดยด่วน
- ไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำ ควรรับประทานเฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น หากต้องการคุมกำเนิดระยะยาวให้รับประทานยาคุมกำเนิดแทน ซึ่งจะมีตัวยามากกว่า 2 เม็ดในแผงเดียว และต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง
ผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉิน
- ประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา อาจมาช้าหรือเร็วกว่าปกติ มีการคาดเคลื่อน
- อาจมีเลือดออกเล็กน้อยก่อนมีรอบเดือน
- เจ็บแน่นหน้าอก
- ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด
- ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- เจ็บคัดเต้านม
- วิตกกังวล ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนไม่คงที่
- ร่างกายอ่อนล้า