อย่าชะล่าใจ “งูสวัด” แม้เคยเป็นแล้วก็เป็นอีกได้! – หากขึ้นตุ่มใสพันรอบตัว จะทำให้ตายจริงหรือ?

รู้ทันโรค

“งูสวัด”… คนเป็นโรคที่หลายๆคนคงจะเคยได้ยินผ่านหูกันมามิใช่น้อย โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า “ถ้าเป็นงูสวัดพันรอบตัวแล้วจะต้องเสียชีวิต” ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมีความเป็นไปได้หรือไม่? วันนี้ “Healthy Clean” ขอพามาค้นหาคำตอบกัน

โดย ผศ.พญ.สุวิรากร  ธรรมศักดิ์ ประธานฝ่ายกิจกรรมสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้บอกเล่าเกี่ยวกับ “งูสวัด” กับ Healthy Clean ว่า จริงๆแล้วในช่วงนี้จะพบคนไข้มาปรึกษาเรื่อง ตุ่มน้ำ ที่ผิวหนัง เป็นกลุ่มๆ เรียงกันเป็นแนว อยู่หลายคน จนเริ่มสงสัยว่างูสวัดมีการระบาดหรือเปล่า แต่งูสวัดเป็นโรคที่อยู่ในตัวผู้ที่เป็นโรคสุกใสแล้ว เมื่อร่างกายภูมิตก อ่อนแอ พักผ่อนน้อย เครียด ไม่ออกกำลังกาย งูสวัดถึงออกมาได้ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่ามีการระบาดคงไม่ถูกต้องนัก เลยมาค้นข้อมูลการเกิดโรคนี้ทำให้พบว่า ตัวเลขจากสำนักงานระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา อุบัติการณ์โรคงูสวัดในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป สอดคล้องกับข้อมูลจากภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลที่ “จัดให้โรคงูสวัดเป็น 1 ใน 3 โรคติดเชื้อที่สำคัญร่วมกับไข้หวัดและปอดบวม” โดยพบได้ราวร้อยละ 20-30 ในประชาชนทั่วไป และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในผู้ที่มีอายุถึง 85 ปี  และข้อมูลจากสถาบันโรคผิวหนังพบผู้ป่วยงูสวัด ปีละประมาณ 1,000 คน

สำหรับที่มาของ “งูสวัด” นั้นเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus : VZV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อร่างกายได้รับเชื้อชนิดนี้มาครั้งแรก จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อหายจากอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสบางส่วนจะไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ปมประสาท เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือร่างกายอ่อนแอลง เชื้อไวรัสจะออกมาจากปมประสาทมาทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง

อาการของงูสวัดมี  3 ระยะ คือระยะแรกจะมีไข้ต่ำ ปวดเมื่อย ปวดแสบปวดร้อนตามร่างกายบริเวณที่กำลังจะมีผื่นขึ้นเพราะเส้นประสาทเกิดการอักเสบ ซึ่งในระยะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นงูสวัด บางคนจะรู้สึกเสียวแปล็บๆตามผิวหนัง หรือปวดศีรษะอย่างมากบางคนคิดว่า ตัวเองเป็นไมเกรน  ถ้าเป็นที่เส้นประสาทตา จะปวดตา ตาแดง ถ้าเป็นเส้นประสาทหูอาจจะปวดในรูหู จนกระทั่งมีผื่นออกมาเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 2 ซึ่งจะมีผื่นและเป็นตุ่มแดงขึ้นก่อนและกลายเป็นตุ่มน้ำพองใส และระยะ 3 จะมีการเรียงตัวของผื่นตามแนวเส้นประสาท เส้นประสาทที่พบบ่อยจะเป็นบริเวณ ลำตัวข้างใดข้างหนึ่ง บริเวณใบหน้า เป็นต้น และโดยปกติของคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติจะเกิดจากโรคตามแนวเส้นประสาทเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น

“โรคงูสวัดติดต่อกันได้จากการหายใจหรือสัมผัสกับตุ่มน้ำใสที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโดยตรงได้เช่นกัน” โดยหากผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้วยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน อาการที่แสดงออกมาก็จะเป็นเพียงโรคอีสุกอีใส  แต่หากเคยเป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อนี้ก็อาจจะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกายและแสดงอาการเป็นงูสวัดต่อไป เมื่อผู้รับเชื้อมีระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติ

“กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัด ก็คือทุกคนที่เคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส” เพราะเชื้อไวรัสไม่ได้หายไปไหน แต่จะซ่อนตัวอยู่ในร่างกายเราไปตลอดชีวิต แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นงูสวัดมีดังนี้ ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เพราะภูมิต้านทานต่าง ๆ เริ่มเสื่อมถอยลง เปิดโอกาสให้เชื้อไวรัสเข้าโจมตีร่างกายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ในกลุ่มผู้สูงอายุยุคใหม่ ที่ชอบท่องเที่ยว อาจส่งผลให้นอนหลับไม่ตรงเวลา พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือต้องอยู่ในสถานที่ ที่ไม่สะอาดถูกสุขอนามัย ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะให้เกิดโรคง่ายขึ้น ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เครียด นอนไม่ค่อยหลับ  รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ไม่ค่อยออกกำลังกาย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องเข้ารับเคมีบำบัด เป็นต้น “ดังนั้นถ้าเป็นงูสวัดควรหลีกเลี่ยงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์และเด็กที่ยังไม่เคยหรือได้รับวัคซีนอีสุกอีใส” โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก อาทิ ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคมะเร็ง มีโอกาสสูงที่จะเกิดโรคได้ทั้ง 2 ข้างของแนวเส้นประสาท

แต่แนวเส้นประสาทเราจะไม่ได้ชนกันเป็นวงรอบตัว ทำให้ “ความเชื่อที่ว่าถ้าเป็นงูสวัดพันรอบตัวแล้วจะต้องเสียชีวิต จึงไม่เป็นความจริง” ส่วนตำแหน่งที่น่ากลัวของการป่วยโรคงูสวัด คือ บริเวณแนวเส้นประสาทที่เลี้ยงใบหน้า เพราะอาจทำให้ตาบอดได้ ดังนั้นถ้ามีผื่นรอบตาจะต้องตรวจภายในดวงตาด้วย

นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำและผู้สูงอายุ ภายหลังจากที่หายจากอาการของโรคแล้ว บางครั้งอาจจะมีอาการปวดแปลบๆเหมือนไฟช็อตที่เรียกกันว่า post herpetic neuralgia ซึ่งเป็นอาการที่ทรมานมาก อาการอาจจะหายในเวลาเป็นเดือน เป็นปี หรืออาจจะตลอดชีวิตได้ การรักษาบางครั้งหายยากมาก ยาที่รับประทานอาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงมาก ทำให้เสียคุณภาพชีวิต จึงเป็นที่มาของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด อาการปวดเส้นประสาทพบได้ถึงร้อยละ 70-80 ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด  ซึ่งสามารถช่วยป้องกันการสำแดงของโรคงูสวัด โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี2006 โดยวัคซีนนี้มีความเข้มข้นสูงกว่าวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสถึง 14 เท่า ดังนั้นหากไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด แต่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแทน นอกจากนี้ควรทำความเข้าใจก่อนว่า “แม้จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเกิดโรคงูสวัดได้” เพียงแต่อาการจะไม่รุนแรงเท่าคนที่ไม่ได้รับวัคซีน ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด คือผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนเพราะผู้ป่วยสูงอายุ จะมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป ระยะเวลาของอาการก็จะยาวนานหลายเดือน และอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ง่ายอีกด้วย การป้องกันไม่ให้เกิดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

“โรคงูสวัดเป็นโรคที่ไม่อันตราย สิ่งที่ห้ามคือการไปพ่นยาที่ใช้ในการเป่าเนื่องจากอาจติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่ม และไม่ควรทานยาเขียวให้ขับออกหรือการใช้เสลดพังพอน สำหรับอาหารไม่มีข้อห้ามเป็นพิเศษ แต่ต้องรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ถูกสุขลักษณะ ไม่รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หลีกเลี่ยงของหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มเติมได้ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”..

………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”

https://www.dailynews.co.th/article/792377