อันตราย! ต้องรู้ไว้ อาหารและยาชนิดใดบ้าง ที่ไม่ควรกินคู่กัน

ยาน่ารู้

ขึ้นชื่อว่ายา รับรองว่ามีประโยชน์ เพราะช่วยรักษาโรคและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ของร่างกายให้ทุเลาลงได้ แต่หากกินกับอาหารหรือยาบางชนิด อาจเป็นโทษมากกว่าคุณ เพราะยาจะทำปฏิกิริยาระหว่างกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่ายาตีกันนั่นเอง ซึ่งเป็นอันตรายและส่งผลร้ายต่อร่างกาย โดยจะมียาและอาหารที่ไม่ควรกินคู่กันดังต่อไปนี้

1.ยานอนหลับ + ยาแก้แพ้
ยาสองชนิดนี้มีฤทธิ์กดประสาททั้งคู่ หากกินพร้อมกันอาจจะไม่เกิดอันตรายในคนธรรมดา แต่สำหรับคนที่เป็นโรคหอบหืดถุงลมโป่งพองหรือดื่มเหล่า อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต คือนอนหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

2.ยาละลายลิ่มเลือด + น้ำมันปลา
ทั้งสองชนิดนี้มีฤทธิ์เดียวกัน คือช่วยทำให้เลือดใส ไม่หนืดเหนียว ไม่จับตัวเป็นก้อน ซึ่งจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากได้รับบาดเจ็บหรือต้องมีการผ่าตัด จึงไม่ควรกินร่วมกันนั่นเอง

3.วิตามินอี + อีฟนิ่งพริมโรส
ใครที่ต้องการบำรุงผิวพรรณเพื่อเสริมความงาม แล้วรับประทานอาหารเสริมทั้งสองชนิดนี้พร้อมกัน ซึ่งล้วนแต่มีส่วนประกอบของวิตามินอีทั้งคู่นั้น ซึ่งหากในร่างกายมีปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อหัวใจได้

4.แคลเซียลเสริม + แคลเซียลสด
หากรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงอยู่แล้ว เช่น งาดำ เต้าหู้ขาว แล้วยังบริโภคแคลเซียมเสริมอีก อาจทำให้แคลเซียมเกิน ซึ่งจะไปจับกับหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งได้ ซึ่งจะทำให้เราอยู่ในภาวะอันตราย

5.กาแฟ + แคลเซียล
กาแฟถึงแม้จะช่วยทำให้หายง่วง แต่จะเป็นตัวไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเราแน่

6.ยาคุมกำเนิด + ยาอะม็อกซีซิลลิน
หากกินด้วยกัน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากยาอะม็อกซีซิลลินจะไปลดการดูดซึมของยาคุมกำเนิดนั่นเอง หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน ให้หาทางคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย จะได้ผลดีกว่า

7.ยาลดไขมันในเลือด + ยาอีริโทรไมซิน
หากใช้ยาทั้งสองนี้ร่วมกัน อาจทำให้เกิดภาวะไตวายได้ เพราะยาอีริโทรไมซินจะไปยับยั้งการสลายตัวของยาลดไขมันในเลือด ทำให้เกิดการสะสมของตัวยานี้ในเลือดมากเกินไป จนเป็นพิษ และอันตรายต่อร่างกาย

8.ยาลดน้ำตาลในเลือด + ยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด
หากใช้ยาทั้งสองชนิดนี้กับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน อาจทำให้เกิดอาการช็อกขึ้นได้ เพราะยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสดจะส่งผลให้ฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือดของยาเพิ่มขึ้น จนอาจเกิดภาวะขาดน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต