“โรคพยาธิในช่องคลอด” ภัยเงียบของผู้หญิง แต่อันตรายกว่าที่คิด!

ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง รู้ทันโรค

ใกล้เข้าสู่ช่วงวันแม่แห่งชาติกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.. แต่เรื่องราวด้านสุขภาพของผู้หญิงนั้นมีหลากหลายสิ่งที่พึงระวังกันเป็นอย่างมาก ฉะนั้นในวันนี้ “Healthy Clean” จึงขอพาคุณผู้หญิงทุกท่านมาทำความรู้จักกับ “โรคพยาธิในช่องคลอด” อีกหนึ่งโรคภัยที่พึงระวังกัน

สำหรับ “โรคพยาธิในช่องคลอด” นี้ ทาง ผศ.พญ.อรวิน วัลลิภากร สาขาวิชาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ใหความรู้เอาไว้ว่า คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis พบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่จะพบได้ในเพศหญิงมากกว่า ซึ่งตัวพยาธินั้นมีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ต้องดูผ่านกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น ความน่ากลัวของโรคนี้คือหากเป็นแล้วจะพบผู้ป่วยที่แสดงอาการเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้หลายคนไม่รู้ตัว และแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอนได้

อาการของโรคพยาธิในช่องคลอด

-มีตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวเป็นฟอง และอาจส่งกลิ่นเหม็นคาวปลา
-มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด
-บวม แดง คัน หรือรู้สึกแสบบริเวณอวัยวะเพศ
-ปวดปัสสาวะบ่อย
-เจ็บปวดขณะปัสสาวะ หรือมีเพศสัมพันธ์

โดยอาการเหล่านี้ หากเป็นแล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่รีบรักษา จะลุกลามไปถึงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะทำให้อักเสบได้ เนื่องจากท่อปัสสาวะและช่องคลอดอยู่ใกล้กันจึงสามารถติดเชื้อได้ง่าย ในระยะยาวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง “โรคมะเร็งปากมดลูก” และส่งผลให้ “มีบุตรยาก” ในอนาคตได้


สำหรับ “โรคพยาธิในช่องคลอด” มีความแตกต่างจากเชื้อราในช่องคลอด สามารถแยกได้จากลักษณะอาการที่เด่น ๆ เช่น เชื้อราในช่องคลอดมักจะก่อให้เกิดอาการคันมากกว่า และตกขาวจะมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก แต่พยาธิในช่องคลอดจะก่อให้เกิดการระคายเคืองและมีอาการแสบบริเวณอวัยวะเพศเมื่อปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์

วิธีการป้องกันโรคพยาธิในช่องคลอด เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นโรคนี้จึงสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ และไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย นอกจากนี้หากพบว่ามีอาการตกขาวผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที

ทั้งนี้ สำหรับวิธีการรักษาโรคพยาธิในช่องคลอด สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการรับประทานยาตามแพทย์สั่งต่อเนื่อง 7-10 วัน “แต่ถึงแม้จะรักษาจนหายขาดแล้วก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก” เนื่องจากกลับไปมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเดิมที่ติดเชื้อ ดังนั้นในทางการแพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคพยาธิในช่องคลอดและคู่นอน มารับการตรวจและรักษาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำใหม่นั่นเอง

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว.. คุณสาวๆจึงควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองอยู่เสมอ ก่อนที่ “โรคพยาธิในช่องคลอด” ถามหาจนเกินแก้ในท้ายที่สุด…

………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์” https://www.dailynews.co.th/article/788831