คางทูม

คอ

คางทูม (mumps) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสคางทูม อาการแรกเริ่มของผู้ป่วยได้แก่มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และรู้สึกอ่อนเพลีย จากนั้นจึงมีต่อมน้ำลายพาโรทิดบวมโตและเจ็บ อาจโตข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง อาการเหล่านี้มักเริ่มเป็นหลังจากได้รับเชื้อมาแล้ว 16-18 วัน และเมื่อเป็นแล้วมักหายได้เองในเวลา 7-10 วัน ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่มักมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยวัยเด็ก คนที่รับเชื้อนี้ประมาณหนึ่งในสามจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (15%) ตับอ่อนอักเสบ (4%) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สูญเสียการได้ยิน และอัณฑะอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เป็นหมันได้ แต่พบได้น้อย ผู้ป่วยเพศหญิงอาจมีการอักเสบของรังไข่ แต่จะไม่ทำให้เป็นหมัน

คางทูมเป็นโรคติดต่อที่ติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วในกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิด โดยจะติดต่อผ่านทางฝอยละอองจากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจหรือการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย โรคนี้ติดต่อได้กับมนุษย์เท่านั้น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ 7 วันก่อน และ 8 วันหลังเริ่มมีอาการต่อมน้ำลายบวม คนที่หายจากโรคนี้แล้วมักมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต การติดเชื้อซ้ำนั้นพบได้บ้างแต่ผู้ป่วยก็มักจะมีอาการเพียงเล็กน้อย การวินิจฉัยส่วนใหญ่อาศัยจากการตรวจพบต่อมน้ำลายพาโรทิดบวม การตรวจยืนยันทำได้โดยการตรวจหาเชื้อไวรัสจากการป้ายสารคัดหลั่งจากรูเปิดของต่อมน้ำลายพาโรทิด การตรวจหาสารแอนติบอดีชนิดไอจีเอ็มในเลือดเป็นการตรวจที่ทำได้ง่ายกว่าแต่อาจให้ผลลบลวงได้โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นคนที่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน

การป้องกัน

ฉีดวัคซีนป้องกัน 2 ครั้ง เมื่ออายุ 9-12 เดือน และ 4-6 ปี

การป้องกันทำได้โดยรับวัคซีนโรคคางทูมรวมสองครั้ง ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีวัคซีนนี้ให้บริการเป็นวัคซีนมาตรฐานในโครงการระดับชาติ ส่วนใหญ่จะให้ร่วมกันกับวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และวัคซีนโรคหัด เป็นวัคซีนรวมสามโรค และอาจให้ร่วมกันกับวัคซีนโรคอีสุกอีใสอีก เป็นวัคซีนรวมสี่โรค ประเทศที่มีอัตราการรับวัคซีนต่ำอาจมีรายงานผู้ป่วยในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มนี้หากเป็นโรคแล้วอาจมีผลการรักษาที่ออกมาไม่ดีได้ โรคนี้ยังไม่มีการรักษาจำเพาะ การรักษาหลัก ๆ คือการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่ ใช้ยาแก้ปวดลดไข้เช่นพาราเซตามอล ในบางรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอาจได้ประโยชน์จากการรักษาด้วยอิมมูโนกลอบูลิน รายที่มีภาวะแทรกซ้อนเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือตับอ่อนอักเสบอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 10,000 ของผู้ป่วย

ในแต่ละปีหากไม่มีการให้วัคซีนจะมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 0.1-1% ของประชากร ก่อนที่จะมีการใช้วัคซีนอย่างกว้างขวางโรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในผู้ป่วยเด็กทั่วโลก การให้วัคซีนอย่างทั่วถึงทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคนี้ลดลงกว่า 90% โรคคางทูมพบได้บ่อยกว่าในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอัตราการรับวัคซีนยังต่ำอยู่ อย่างไรก็ดียังมีการระบาดเป็นครั้ง ๆ แม้ในกลุ่มประชากรที่รับวัคซีนแล้ว ซึ่งจะมีการระบาดขนาดใหญ่เกิดขึ้นประมาณทุก ๆ 2-5 ปี โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กอายุ 5-9 ปี หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มที่เคยได้รับวัคซีนแล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นคนอายุ 20 ปีต้น ๆ ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรจะพบโรคนี้ได้ตลอดปี ส่วนประเทศนอกเขตนี้มักพบได้ในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ มีการกล่าวถึงอาการต่อมน้ำลายพาโรทิดและอัณฑะบวมเจ็บไว้ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยแพทย์กรีกชื่อฮิปโปเครตีส

การรักษา

1. ให้ปฏิบัติดังนี้

  • นอนพักผ่อน. ห้ามตรากตรำงาน.
  • ดื่มน้ำ, น้ำหวาน, น้ำข้าวต้ม/โจ๊ก หรือ น้ำเกลือบ้าน มากๆ.
  • ถ้าไข้สูง ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว, เวลาเช็ดตัวอย่าให้ถูกลม อาจทำให้หนาวสั่นได้. ถ้าไข้สูงมาก (ตัวร้อนจัด) กิน ยาลดไข้-พาราเซตามอล ทุก 4-6 ชั่วโมง (ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน).
  • ถ้าหนาวหรือครั่นเนื้อครั่นตัว ควรใส่เสื้อหนาๆ หรือห่มผ้า และดื่มกินของร้อนๆ ให้เหงื่อออก. ห้ามอาบน้ำเย็น หรือดื่มกินของเย็นๆ.
  • ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถ้าเคยชัก ให้กินยากันชักตามคำแนะนำของหมอ (หมอจะพิจารณาให้ยากันชักสำหรับเด็กบางคนที่มีลักษณะชักที่ร้ายแรงเท่านั้น).
  • ถ้าไข้ไม่หายใน 3-4 วัน หรืออาการทรุดลง ควรไปหาหมอ

2.ใช้น้ำอุ่น (ร้อนพอทนได้) ประคบบริเวณที่บวม วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-30 นาที เพื่อลดการอักเสบ, ถ้ารู้สึกปวดมาก กิน พาราเซตามอล ทุก 4-6 ชั่วโมง.

3.ถ้ามีอาการอักเสบ (ปวด, บวม, แดง, ร้อน) ของอัณฑะ, หรือปวดท้องมาก, หรือซึม, หรือชัก, หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 7 วัน ควรไปหาหมอโดยเร็ว

ข้อมูลอ้างอิง

https://th.wikipedia.org/wiki/คางทูม

https://www.doctor.or.th/doctorme/head/12560